miss a good bye baby

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

เนื่องจากการลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยความยากลำบาก คนที่มีน้ำหนักเกินยังไม่เห็นผลร้ายที่เกิดกับตนเองในระยะสั้นๆ
ดังนั้นคนทั่วไปจึงมักไม่ค่อยมีความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนัก และเมื่อมีความต้องการจะลดน้ำหนัก
ก็จะต้องการให้ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จึงมีความเชื่อผิดๆ หรือการโฆณณาชวนเชื่อต่างๆ ออกมาอยู่เป็นประจำ ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ได้แก่
1.ความเชื่อที่ว่าท่านสามารถลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละหลายๆ กิโลกรัม โดยการรับประทานยาหรืออาหารสำหรับลดน้ำหนัก
ซึ่งการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วส่วนใหญ่จะเป็นการขับน้ำออกจาก ร่างกาย ไม่ใช่ไขมันส่วนเกิน


2.ความเชื่อที่ว่าท่านจะลดน้ำหนักโดยการอดอาหารเป็นมื้อๆ ไป ถ้าหากหิวก็ให้อดทนเอา
วิธีนี้คงจะเป็นวิธีที่ทรมานที่สุด เพราะท่านอาจจะเป็นโรคกระเพาะเสียก่อน
และเมื่อถึงเวลารับประทานมื้อถัดไป ท่านอาจจะรับประทานมากกว่าเดิม


3.ความเชื่อที่ว่าท่านไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะอ้วนกันทั้งครอบครัว ความอ้วนเป็นกรรมพันธุ์
ความเชื่อเหล่านี้จะยิ่งทำให้อ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะจริงๆ แล้วโรคอ้วนไม่ใช่กรรมพันธุ์
แต่การสร้างเซลล์ไขมันส่วนเกินได้ง่ายในครอบครัวของคนอ้วนเป็นกรรมพันธุ์
แต่ก็ป้องกันได้โดยการเลือกอาหารด้วยความระมัดระวังและการออกกำลังกาย
การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ การลดน้ำหนักที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารให้เหมาะสม และการออกกำลังกายเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของการลดน้ำหนักที่ได้ผลดีที่สุด

สูตรลดน้ำหนัก 7 วัน

สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัมใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป
หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ


วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้


วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้


วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้


วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ


วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส


วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม


วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ

เรื่องสิว สิว และวิธีการดูแลรักษาหน้าสำหรับสาวๆ

วิธีรักษาสิวแบบประหยัด
ใครที่เป็นสิวบ่อย ๆ แล้วไม่อยากไปรักษาแพง ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีรักษาแบบประหยัดมาฝากกัน...

- ต้องถ่ายน้ำเหลืองออกจากตัวบ้าง ด้วยการไปซื้อ "ดีเกลือฝรั่ง" มารับประทาน ราคาก็ไม่แพงมากนัก

- ควรลดอาหารประเภทมีไขมันสูงและเผ็ดจัด เช่น อาหารที่ทำจากกะทิ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะดี เพราะไขมันเหล่านี้จะทำให้รูขุมขนอุดตัน ส่วนความเผ็ดจะเร่งให้สิวเกิดมากขึ้น

- ใช้ปลายนิ้วถูตามใบหน้าแรง ๆ เพื่อให้กากไขมันหลุด แต่ไม่ต้องแรงมากจนเป็นผื่นแดงเพราะจะทำให้ใบหน้าเป็นแผลและมีอาการแสบได้

- ทุกครั้งที่หน้าเปียกให้เช็ดหน้าให้แห้งทันที โดยการซับหน้าเบา ๆ

- ต้องงดใช้เครื่องสำอางเพื่อเพิ่มความสวยทุกชนิดสักระยะ แม้แต่แป้งก็ห้ามใช้ ทั้งนี้เพื่อรักษาใบหน้าให้สะอาด แห้ง และจะได้ไม่มีอะไรมาอุดตันรูขุมขน

- ควรรับประทานผักและดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อระบบขับถ่ายที่ดี เพราะการที่เบ่งอุจจาระก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้



อาหารป้องกันสิว

สิวเกิดจากความผิดปกติของต่อมไขมันที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเกิดบนใบหน้า ในบาง กรณีจะเกิดบน หลัง ไหล่ หน้าอกและแขน สิวจะพบมากในวัยรุ่นซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมน ไปกระตุ้นการหลั่งของต่อมไขมัน

ความเครียดนับเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว สารอาหารต่างๆ ที่ช่วย ลดความเครียดจึงมีความสำคัญต่อการช่วยลดการเกิดสิวได้ การได้รับอาหารถูกต้อง ตามหลักโภชนาการและรักษาผิวหนังให้สะอาดเป็นประจำ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ และได้รับแสงแดดบ้างจะช่วยป้องกันการเกิดสิวได้

สำหรับเรื่องอาหาร พบว่า มีการใช้สารอาหารบางชนิดในการป้องกันและ รักษาสิว เช่น วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินอี แร่ธาตุ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม โครเมียม กำมะถันและสังกะสี ทั้งในรูปของการกินและการใช้ทาภายนอก สารอาหารดังกล่าวพบได้ในอาหารทั่วไป ดังนั้น เพื่อเป็น การป้องกันสิว วัยรุ่นควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และให้มีความหลากหลายในแต่ละหมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะสังกะสีซึ่งมีมากในข้าวกล้อง ถั่วเหลือง อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ ไข่ และ ตับ เพราะสังกะสีเป็นสารจำเป็นสำหรับการทำงานของต่อมไขมันและสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น การกินอาหารที่ให้วิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ
ร่วมกับการปฏิบัติอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นจะช่วยป้องกันสิวได้

สิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันภายในรูขุมขน ไม่ว่าการอุดตันนั้นจะเกิดจากการทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ หรือจากการใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวที่ก่อให้เกิดการอุดตันก็ตาม การดูดสิวเสี้ยนจะยิ่งทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น และทำให้สิวเสี้ยนเกิดขึ้นได้ซ้ำอีก

คนที่มีผิวมัน ต้องพยายามเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวที่ปราศจากน้ำมัน 100% รวมทั้งเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการควบคุมความมันร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มซับมัน หรือแป้งที่มีคุณสมบัติในการดูดซับความมัน ฯลฯ ถ้าควบคุมความมันได้ ปัญหาสิวก็จะลดลงค่ะ

ส่วนรอยแผลดำ ๆ จากสิว เกิดจากการอักเสบของสิว การบีบหรือแกะสิว ซึ่งทำให้ผิวปกป้องตนเองด้วยการปล่อยเม็ดสีออกมาในบริเวณนั้น และเกิดเป็นรอยดำ ซึ่งรอยดำเหล่านี้จะค่อย ๆ จางลงไปได้เองตามกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ของผิว โดยไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ แต่ถ้าใจร้อนอยากให้รอยแผลจางลงเร็วขึ้น ในปัจจุบันก็มีการใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA ในปริมาณความเข้มข้นไม่เกิน 5% ทาบาง ๆ ทุกวัน เช้า - เย็น ก็จะทำให้รอยจางลงได้ แต่ต้องแน่ใจว่าผิวไม่แพ้สารเหล่านี้นะคะ



อยากรู้ว่าทำอย่างไรให้สิวหาย

1. ทำความสะอาดปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนให้บ่อยขึ้น
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวโดยไม่ต้องใช้หลายยี่ห้อ เลือกชนิดที่ผิวหน้าไม่แห้งตึง และไม่เหนียวเหนอะหนะ ล้างหน้าให้สะอาดโดยเฉพาะตอนเย็น ควรล้างด้วยเคล็นเซอร์อย่างน้อย 2 - 3 ครั้ง
3. ช่วงที่เป็นสิว แนะนำให้หยุดครีมบำรุงผิวไว้ก่อนนะคะ แก้ปัญหาสิวให้จบ แล้วค่อยบำรุงทีหลังก็ไม่สายค่ะ
4. พยายามนอนให้เร็วขึ้น และอย่าให้ท้องผูก
5. ความเครียด การคิดมาก ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เป็นสิว หาอะไรทำให้ผ่อนคลาย อ่านหนังสือ ฟังเพลง ฯลฯ
6. อย่าเพิ่งใช้ยาอะไรทาผิวหน้าในช่วงนี้ รักษาความสะอาดให้ดีก่อน แล้วปัญหาสิวจะค่อย ๆ ลดลงได้เองค่ะ หลีกเลี่ยงการใช้มือจับหน้าในระหว่างวัน และไม่ควรใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้านะคะ ให้ใช้กระดาษทิชชูกล่องซับแทน ฯลฯ


คือว่า...ไปกดสิวที่คลินิกความงาม อยากรู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกวิธีรึเปล่าการกดสิว เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างขึ้นค่ะ ในขณะที่กดสิวเราอาจรู้สึกดีที่ทำให้สิวหลุดออกมาได้ แต่หลังจากนั้นรูขุมขนของเราที่ขยายอยู่จะกลายเป็นบ่อดักสิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้เข้ามาอุดตันมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อรวมกับน้ำมันตามธรรมชาติของผิว ก็จะกลายเป็นสิวขึ้นมาอีก ทำให้เราต้องกลับไปกดสิวอีกเรื่อย ๆ

วิธีการดูแลให้ผิวใสไร้สิวด้วยตัวเราเองนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่ล้างหน้าให้สะอาดด้วยเคล็นเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิว โดยเฉพาะในตอนเย็นควรล้าง 1 - 2 ครั้ง จนแน่ใจว่าผิวสะอาด หลีกเลี่ยงการใช้มือที่ไม่สะอาดจับใบหน้า ระวังอย่าให้ท้องผูก ทานผัก ผลไม้ และดื่มน้ำมาก ๆ และไม่ควรนอนดึก ฯลฯ

ทำยังไงให้รูขุมขนที่ใบหน้ากระชับขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก และแนะนำโฟมล้างหน้าสำหรับคนผิวมันหน่อยนะคะ
ต้องบอกว่ารูขุมขนคนเราไม่สามารถทำให้มีขนาดเล็กลงได้อย่างถาวรค่ะ แต่สามารถมีขนาดใหญ่ขึ้นได้หากเราทำความสะอาดไม่ดีและมีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน...

ถ้าเราล้างหน้าได้สะอาดหมดจดจริง ๆ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ก็จะช่วยทำให้รูขุมขนดูเหมือนว่ามีขนาดเล็กลง ผิวละเอียดขึ้น

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับคนผิวมัน ควรมีคุณสมบัติในการควบคุมความมัน ปราศจากน้ำมัน100% มีค่าความเป็นกรด - ด่างที่สมดุลย์กับผิว ล้างแล้วไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึงค่ะ



เป็นคนชอบใช้แป้งเด็กทาหน้ามากจะมีปัญหาต่อผิวหน้าไหมคะ ช่วยบอกหน่อยคะ

การใช้แป้งเด็กทาหน้า ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเด็กเล็ก ๆ ยังใช้ได้... คงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนคิดนะคะ

โมเลกุลของแป้งเด็กที่ละเอียด เวลาอยู่บนผิวเด็กก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะผิวเด็กก็ละเอียด แต่เราเป็นผู้ใหญ่ ขนาดของรูขุมขนขยายขึ้น รวมทั้งมีน้ำมันตามธรรมชาติของผิวซึ่งเป็นเสมือนตัวดักฝุ่นอยู่แล้ว เมื่อเราใช้แป้งเด็กซึ่งมีความละเอียดมาก จึงทำให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขนสะสมไปเรื่อย ๆ

ระยะแรกเราจะไม่รู้สึกถึงการอุดตันนี้ กว่าจะสังเกตว่าผิวไม่เรียบ เป็นคล้าย ๆ สิวอุดตัน สิวไม่มีหัว ก็ใช้เวลาหลายปี ซึ่งถ้าเป็นแล้วสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการใช้แป้งเด็กกับผิวหน้า ทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว และรอให้เซลล์ผิวค่อย ๆ เคลื่อนตัวขึ้นตามธรรมชาติ จนกระทั่งสิวอุดตันค่อย ๆ ตื้นขึ้นจนหลุดออกไป ซึ่งต้องบอกว่าใช้เวลานานมาก ขอให้ใจเย็น ๆ ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย (สุขกายสบายใจ)

น้ำส้มคั้น"น้ำผลไม้คั้นสด" ควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่องให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่ายกว่าอีกด้วย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน ควรค่อย ๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบ ๆ ปากเพื่อเพิ่มเอมไซน์ในอาหารช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น

          หากคุณเริ่มต้นวันด้วยกาแฟรสชาติเข้มข้น มื้อกลางวันดับกระหายด้วยน้ำอัดลม เติมพลังช่วงบ่ายด้วยการจิบชาฝรั่ง ตกเย็นกลับบ้านดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ ให้ชื่นใจหายเหนื่อย ถ้าตลอดทั้งวันคุณมีพฤติกรรมการดื่มลักษณะเช่นนี้ จริงอยู่อาจไม่กระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเปลี่ยนให้ 1 แก้วใน 1 วันเป็นตัวช่วยสะสมความแข็งแรงให้กับอวัยวะภายในได้

          จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Medicines กล่าวถึงเรื่องการดื่มน้ำผลไม้คั้นสดช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ซึ่งมีผลสรุปทางการวิจัยว่าผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากกว่า 3 แก้วใน 1 สัปดาห์มีแนวโน้มความเสี่ยง 76% ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ถือว่าอยู่ในอัตราเสี่ยงระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น สดเพียงอาทิตย์ละ 1 แก้ว หรือไม่ดื่มเลย

          นับว่างานวิจัยนี้มีเหตุผลที่ดีพอในการโน้มน้าวใจให้คนหันมาสนใจเรื่องการ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากขึ้น เรามีทางเลือกน้ำผลไม้ใกล้ตัว ที่จะช่วยดูแลอวัยวะภายในของเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอมาฝากคุณค่ะ

น้ำบีทรูท


1.น้ำบีทรูทกระตุ้นสมอง

          สารประกอบไนโตรเจนในเนื้อสีแดงของผลบีทรูท จะช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น จากผลการวิจัยล่าสุดของออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดทุกเช้ามีระดับความดันโลหิตในสมองที่สดต่ำลง และมีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย


น้ำเกรปฟรุต

2.น้ำเกรปฟรุตช่วยเผาผลาญไขมัน

          เกรปฟรุตหมายถึงผลไม้รสเปรี้ยว มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นฤทธิ์ร้อนจึงช่วยเผาผลาญไขมัน และลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ในผลการวิจัยของสหรัฐพบว่าผู้ที่จิบน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนเมื้ออาหารทุกมื้อ โดยที่ไม่ได้ลดอาหารหรือไดเอ็ทนั้นมีน้ำหนักตัวที่ลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน


น้ำมะเขือเทศ


3.บำรุงกระดูกด้วยน้ำมะเขือเทศ

          นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนนาเดียน พบว่า ไลโคปีนในน้ำมะเขือเทศสดเปรียบเสมือนธนาคารกระดูกที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและ ฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดังนั้นหากดื่มน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละแก้วก็จะได้รับแคลเซียมซึ่งเทียบได้ กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยสูงอายุ ควรบริโภคน้ำมะเขือเทศคั้นสด 2 แก้วต่อวันในระยะเวลา 4 เดือนขึ้นไป เพื่อช่วยลดอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน


น้ำส้มคั้น


4.บำรุงหัวใจด้วยน้ำส้มคั้น

          สารฟลาโวนอยในผลส้มจะช่วยลดอัตราไขมันเลว (LDL) และเพิ่มอัตราไขมันดี (HDL) ซึ่งส่งผลต่อระดับคอเลสตอรอลในร่างกายลดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลได้ ทำการวิจัยพบว่าในน้ำส้มคั้นสด ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย


น้ำเลมอน


5.น้ำเลมอนบำรุงตับ ป้องกันนิ่ว

          การดื่มน้ำเลมอนคั้นสดปริมาณ 8 ออนซ์ผสมกับน้ำเปล่าในแต่ละมื้อ ช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยของศูนย์โรคไตในซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้ำเลมอนผสมกับน้ำเปล่าในอัตรา 4.2 เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่วในไตได้ โดยมีฤทธิ์เข้าไปละลายก้อนนิ่วในถุงน้ำดีและไตแล้วขับออกมาทางปัสสาวะ รวมทั้งช่วยฆ่าแบคทีเรีย และยังช่วยให้อัตราของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะลดลงจาก 1% เหลือเพียง 0.13% ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย


น้ำสับปะรด


6.น้ำสับปะรดบำรุงข้อต่อ

          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เป็นบทความในหัวข้อ "Cellular and Molecular Life Sciences" กล่าวไว้ว่า เอนไซม์บรอมิเลน (Bromelain) ช่วยบำรุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ และมีฤทธิ์บรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคไขข้ออักเสบ (Rheumatoid arthritis) และลดอาการเบอร์ไซติส (Bursitis) หรืออาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ได้ โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทำให้อาการไม่เรื้อรัง

          นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวิตามินซีที่มีในสับปะรด ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โรคปริทันต์ หรือรำมะนาด (Periodontal disease) อันเป็นโรคที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และโรคลมอัมพาต หรืออาการเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) ได้อีกด้วย

          น้ำผลไม้คั้นสด นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าสารอาหารสูงกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

          ข้อแนะนำเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภคคือ ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4 ถึง 8 ออนซ์) โดยไม่เพิ่มความหวานใด ๆ อีก เพราะในผลไม้มีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งให้แคลอรีเพียง 60-80 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเหมาะที่จะเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพของเราในทุก ๆ วัน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้...เดี๋ยวนี้เลย

9 สัญญาณอันตรายของร่างกาย

ปวดหัว                                                                  และต่อไปนี้คือ 9 สัญญาณอันตรายที่คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในเบื้องต้น

          1.ผิวหนังมีปัญหา มีอาการคันหรือลอกเป็นขุย อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A ดังนั้น ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้มที่อุดมไปด้วยวิตามิน A 

          2.ผมไม่เงางาม เป็นผลมาจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก เช่น พืชผัก ข้าวและถั่ว รวมทั้งกะหล่ำดอก รวมทั้งผลไม้เปลือกแข็ง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอตินควบคู่กับการออกกำลังกาย     

          3.ท้องผูก เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ และดื่มน้ำให้มากขึ้น 

          4.ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ กรดไขมันประเภทโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลา จะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการปวดบวมบริเวณข้อต่อทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น

          5.สเปิร์มลดน้อยลงกว่าปกติ เป็นผลมาจากขาดวิตามิน C ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของสเปิร์ม ดังนั้น ควรดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน   

          6.หัวใจเต้นผิดปกติ อาจขาดสารอาหารพวกแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้วและกล้วย รวมทั้งอาหารพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวันและผักโขม

          7.ปวดเหงือก ให้รับประทานโยเกิร์ตเพื่อช่วยจัดการกับแบคทีเรียที่มีอันตรายในปาก   

          8.กระดูกแตก อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างกระดูก สำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง

          9.ขี้ลืม พบว่า ผู้ที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดี ควรเสริมสร้างอาหารที่ช่วยให้สมองทำงาน ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลและถั่ว